วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The others

-- The others--

The Others stars Nicole Kidman as a mother living in a large isolated mansion with her two extremely photosensitive children; as they await the return of her husband upon the aftermath of World War II, they come to suspect that their house is haunted (and it is‚ just not in the way they think). 

เกรซ (นิโคล คิดแมน)  แม่ผู้ซึ่งอาศัยในคฤหาสน์กับลูกน้อยทั้งสอง ผู้ซึ่งมีอาการแพ้แสงอย่างรุนแรง 
เกรซรอคอยการกลับมาของสามีของเธอ หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองที่สามีไปออกรบนั้นได้ยุติลง
พวกเขาเริ่มสงสัยว่าคฤหาสน์ที่พวกเขาอาศัยอยู่สิ่งเหนือธรรมชาติซ่อนอยู่ 
และดูเหมือนว่าคนรับใช้ที่เธอรับมาใหม่นั้น  เหมือนจะมีลับคมในมากกว่าที่เห็น




A creepy fable from director Alejandro Amenabar (whose twisted sci-fi love story, Abre Los Ojos, served as the basis for Cameron Crowe's Vanilla Sky),


        The Others isn't so much a horror film as it is a sometimes overwhelmingly sad fairy tale of sorts; while its melancholy tone ้sometimes gets the better of it, it remains an engrossing and fascinating yarn, with Amenabar maintaining a sense of mystery and dread as the story slowly unfolds, Kidman delivering a strong mama-lion performance and Fionnula Flanagan stealing the show as the new maid who seems to know a lot more about this strange situation than she lets on. The film's final revelation isn't so much shocking (or unexpected) as it is tragically inevitable; it also doesn't make or break everything that came before it, as is so often the unfortunate case with twist endings.

รูปภาพบางส่วนจาก https://www.facebook.com/TheOthersMovie



Mrs. Mills: "The world of the dead sometimes gets mixed up with the world of the living."
Grace: "But it's impossible!"


Anne: "Doves are anything but holy."
Nicholas: "They poo on our windows."

"Now she thinks that the house is haunted." - Mrs. Mills
"Mr. Tuttle I need you to search the whole garden for gravestones."- Grace




Grace: "Tell me if there is someone in the house."
Ann: "I did and you punished me, now I don't know what to say."

"Silence is something that we prize very highly in this house." - Grace

“Sooner or later, they will find you.”

----
ส่วนหลังจากนี้ ถ้ายังไม่ดูหนังค่อยอ่านนะ
----
บทวิจารย์ส่วนหนึ่ง จาก http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=2200434

สำหรับผม ผมขอเลือก The Others เลยครับ ถึงแม้หนังจะฉายหลัง The Sixth Sense อีกทั้งบทสรุปยังทำออกมาได้ใกล้เคียบกันก็ตาม แต่หากใครได้ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ The Others นั่นก็จะพบว่าคนเขียนบทนั้นเขียนบทก่อน The Sixth Sense อีก แต่โดน The 6th Sense ฉายไปเสียก่อน จึงหยุดคิดในใจเว้นห่างจาก The 6th Sense ไว้ 2 ปี ผู้กำกับเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าผมอาจจะไม่ฉายเรื่อง The Others เพราะอะไรผมนั้นไม่ขอบอก จึงเกิดสงครามอินเตอร์เน็ตเรียกร้องให้ฉายเพราะอยากรู้ทำไมถึงไม่ฉาย

จากนั้นมาในปี 2001 The Others จึงถูกปล่อยออกมาให้ชมกัน

ที่ผมเลือก The Others เพราะในบทสรุปนั้นทำเอาผมเหวอไปมากถึงมากที่สุดเลยครับ และตลอดที่หนังฉายมาหนังมันก็หลอกเราหลายเรื่องมาก ไม่ใช่แม้แต่เรื่องที่ครอบครัวนางเอกเป็นผีอย่างเดียว ทางผู้กำกับเขาหลอกคนดูได้ดังนี้

1. แน่นอนครับ เรื่องที่หลอกเมนหลักคือ เรื่องที่ครอบครัวนางเอกเป็นผี
2. หลอกให้คิดว่าสิ่งที่ตามหลอกนางเอกนั้นเป็นผีที่ตามหลอกคนธรรมดา ซึ่งเมื่อดูบทสรุปแล้ว กลับกลายเป็นว่าทางฝ่ายนิโคลนั้นเองที่เป็นผีหลอกคนที่ไปอาศัยบ้านนั้น พูดง่าย ๆ คือผีหวงบ้านนั้นเอง
3. จะมีฉากนึงที่ผี 3 ตนคือ ยายแก่ คนใบ้ และลุงแก่ ๆ ที่เขาพูดว่าจงทำใจยอมรับ ให้คนเป็นและคนตายอยู่ด้วยกัน ประโยคนี้ทำให้ผมคิดว่าคนเป็นที่พูดถึงนั้นคือนิโคล และคนตายที่พูดถึงนั้นคือยัยแก่ ๆ แต่หากในความเป็นจริงแล้วคนเป็นที่ยายแก่ ๆ พูดถึงนั้นกลับเป็นครอบครัวที่เป็นคนจริง ๆ ที่มาซื้อบ้านของนิโคลอยู่

นี่คือส่วนที่ผมคิดได้
และอีกทั้งในหนังยังมีการสอดแทรกบทบาทบางอย่างที่ทำให้คนดูรู้สึกไขว้เขว กล่าวคือในขณะที่เราดูแล้วเกิดสงสัยและเล็งเห็นว่านิโคลและลูกของเธอต้องเป็นผีแน่นอน ทางบทหนังก็ได้หยิบอะไรอะไรออกมาเพื่อเอามาให้คนดูไขว้เขวกับการที่จะตัดสินใจเชื่อว่าสรุปนิโคลเป็นผีจริงหรือเปล่า

และอีกอย่างนึงการแสดงของนิโคล คิดแมนหลอกคนดูที่ดูเรื่องนี้ได้เนียนจนอึ้ง เหวอ เอ๋อไปเลยทีเดียว

-------------

ส่วนของ The Others นี่ผมก็จับได้เยอะเหมือนกันนะ ประการแรกเลยโรคกลัวแสง ผมฟังธงแล้วว่าต้องเป็นผีแน่ ๆ แล้วมาบวกกับสามีไม่กลับบ้าน พอมันปล่อยสามีกลับบ้านมา ก็ทำให้ผมไขว้เขวเข้าไปอีก ยิ่งตอนที่คนแก่บอกว่า "ปล่อยให้คนเป็นกับคนตายได้อยู่ด้วยกันเถิด" อันนี้รู้สึกแบบ เฮ้ยย ยังไงล่ะเนี่ยยย สรุปที่ตรูคิดมามันผิดหมดเลยหรอ

พอมาฉากตอนบทสรุป ตอนนี้แหละเอ้ยยยยยย ขนหัวลุกเลยครับตอนที่นิโคลอารมณ์ปรี๊ดแตก แล้วตะโกนไปว่า "We're not dead" แล้วชีก็ฉีกกระดาษ ทีนี้ภาพมันก็ตัดให้เราเห็นว่ากระดาษลอยได้ ณ เวลานั้นแบบว่า เฮ้ยยยยยยยย อึ้ง เหวอ เอ๋อแดร๊กไปชั่วขณะเลย

เหมือนโดนนิโคลตบหน้าอย่างจัง ๆ เธอแสดงได้เนียนมาก 
-----------------
ปิดท้ายด้วยรูป ป้าคิดแมน  สวยตลอดตลอด

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

The way home

The way home ..

is the korean movie that alway stay in my mind , every times I see this movie ,my tear always running.
It's touching my heart.

This movie is talking about Grandmom with her grandchild . After her daughter come to downtown for work ,  she have to stay alone . Someday her daughter  has accidentally to be unemployed so the daugter send her grandchild to stay with her for a while . And the story come up from this ...

อยากลองฝึกภาษาดูอ่ะ 

At the first time he comes...
ครั้งแรกที่มาอยู่ที่บ้านยาย เด็กชายยังทำใจกับความเป็นชนบทไม่ได้
เหมือนว่าลึกๆ ก็ต่อต้านยาย และโกรธแม่ที่พาเค้ามาทิ้งไว้ที่บ้านยาย
ยายผู้ซึ่งเป็นใบ้ พูดไม่ได้ ด้วยอายุที่เยอะแล้วขาแข้งก็ไม่มี ขางอมาก
ยายดีใจมากที่หลานชายมาอยู่ด้วย แม้หลานจะทำตัวก้าวร้าว
ก้ไม่เคยทำให้ยายโกรธเลย
เด็กชายอยากกินไก่  ยายก็สู้อุตส่าห์เดินออกไปจากหมู่บ้านไปหามาให้หลานกิน
แต่หลานก็ยังไม่ถูกใจเพราะไม่ใช่ไก้เคนตั๊กกี้แบบที่ตัวเองหวัง
--แต่สุดท้ายเพราะความหิวก็ต้องยอมกินอยู่ดี
เพราะท้องมันร้องจ๊อกๆ
ฝ่ายเด็กชายพอจะเข้าห้องน้ำเลยหันมาเรียกยาย
ปรากฏว่ายายตัวร้อนจี๋ อาจจะเป็นเพราะตอนที่ออกไปหาไก่นั้น
ยายต้องเดินตากฝนไป
เด็กชายก็พยายามจัดไก่ที่ตัวเองกินไปแล้วบางส่วนวางให้ยาย
เช็ดตัวให้ยาย

อาชีพของยายนั้นคือจะหาของป่าเก็บผักหญ้าแล้วเอาขึ้นรถเมล์ไปขายที่ตลาด
บางครั้งก้จะแวะไปเยี่ยมเพื่อน หรือนวดให้เพื่อนเพื่อนแลกกับรายได้เล็กๆน้อยๆ
วันนี้เด็กชาย อยากได้รองเท้าคู่ใหม่ ยายก็ซื้้อให้ทำให้เหลือเงินเพียงแค่เศษเหรียญ

หลานก็ยังหิวอยากกินบะหมี่
ยายนั้นมีเงินพอที่จะซื้อเพียงจานเดียว
ส่วนตนก็กินเพียงน้ำเปล่า



บางครั้งก้จะแวะไปเยี่ยมเพื่อน หรือนวดให้เพื่อนเพื่อนแลกกับรายได้เล็กๆน้อยๆ
ครั้งนี้เด็กชายบอกว่าอยากกินช็อกโก้พาย ยายจึงเอาผักของตนเองมาแลก
เพื่อเอาไปให้หลาน



เมื่อส่งเด็กชายขึ้นรถ ยายก็พยายามที่จะฝากห่อของไปด้วย
แต่ถูกปฏิเสธผลักออกไปทุกครั้ง ส่วนตัวยายนั้นไม่ได้ขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน
เด็กชายไม่ได้เอ๊ะใจอะไร

จนเมื่อรถเมลืมาถึง เด็กชายรออยู่นานก็ไม่เห็นยายมาสักที คันแล้วคันเล่า
ก็ไม่มีมียายของเขา
นานทีเดียว ในม่านฝุ่นนั้นจึงเริ่มเห็นหญิงชรา ถือไม้เท้าเดินออกมา
เด็กชายดีใจลืมตัววิ่งไปหายาย และช่วยถือของยาย
พร้อมกับแอบใส่ช็อกโก้พายให้ยายกินอันนึง
ที่เป็นแบบนี้เพราะยายไม่มีเงินค่ารถกลับ ทำให้ยายต้องเดินกลับ
หลานเริ่มรู้สึกผิดที่ทำไม่ได้ดีกับยายแล้ว

เด็กชายไปแอบชอบเด้กสาวอยู่คนหนึ่ง
เลยบอกให้ยายตัดผมให้ โดยบอกว่าตัดออกนิดเดียว
แล้วเผลอหลับไปตอนที่ตัดผม
ส่วนฝ่ายยายนั้นคิดว่าหลานบอกว่า ตัดให้สั้นเหลือผมนิดเดียว
การสื่อสารที่ผิดพลาดจึงทำให้หลานโกรธยายอีก


หลายจึงแอบเอาผ้าที่ยายให้ห่อของมาคลุมหัวเพราะอายทรงผมของตน
แม่ของเด็กชายส่งจดหมายมาว่าจะมารับเด็กชายเร็วqนี้
เด็กชายเริ่มเป็นห่วงยายเพราะยายแก่แล้ว
จึงอยากช่วยยาย เช่น สนด้ายเข้าเข็มไว้หลายๆเล่ม

สอนยายเขียนหนังสือเพื่อให้ยายเขียนจดหมายมาหาตนเอง
แต่สอนเท่าไหร่ ยายก้เขียนไม่ได้สักที
คืนนั้นทั้งคืนเด็กชาย ช่วยเช็ดถูบ้าน
แล้วก้วาดการ์ดที่แสดงว่า ฉันคิดถึง ฉันไม่สบาย
ให้ยายส่งหาตัวเมื่อมีเหตุการณ์
วันที่แม่มารับกลับเด็กชายไม่ยอมพูดกับยายเลย
คงเป็นเพราะความเสียใจ ใจหาย
และรู้สึกผิดที่ทำตัวแย่ๆ กับยาย
พอเด็กชายวิ่งขึ้นรถได้รีบมาที่กระจกหลังรถและทำภาษามือว่า ขอโทษ


เด็กชายคนนี้ต่อมาเติบโตไปเป็นพระเอก


유승호 ยูซึงโฮ / Yoo Seung Ho
วันเกิด : 17 สิงหาคม 1993
ชื่อเล่น : โซจีซปตัวน้อย (Little So Ji Sub)
กรุ๊ปเลือด : A
อาชีพ : นักแสดงและนายแบบ

ผลงาน
Operation Proposal (CSTV, 2012)
Flames of Ambition (MBC, 2010)
Master of Study (KBS2, 2010)
You're Beautiful (SBS, 2009) cameo
Queen Seon Duk (MBC, 2009)
The King and I (SBS, 2007)
The Legend (MBC, 2007)
Alien Sam (2006)
Sad Love Song (MBC, 2005)
Precious Family (KBS2, 2004)
The Immortal Lee Soon-Shin (KBS1, 2004)
Sweet Buns (MBC, 2004)
Love Letter (MBC, 2003)
Daddy Fish (MBC, 2000)
หน้าตายังเหมือนตอนเด็กเลยเนอะ
ส่วนคุณยายนั้น เป็นยายที่อาสัยอยูละแวกนั้นจริง
วงในบอกว่าผู้กำกับต้องขอร้องกันนานทีเดียวกว่ายายจะยอมแสดง

ขอขอบคุณที่มา


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=plantation-at-ending-sun&month=08-2008&group=6&date=15&gblog=12  อ่านแล้วนึกตามก็น้ำตาคลอแล้ว

http://thevoid99.blogspot.com/2012/06/way-home-2002-film.html---with sound track

http://nangpann.blogspot.com/2010/10/way-home.html--เล่าละเอียดจนไม่ต้องดูก็ได้ อิอิ

http://www.kodhit.com/celeb/yoo-seung-ho-%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%8B%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%AE

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=32333  ชอบคำบรรยายของเค้าจัง

The way home ..
บอกเล่าเรื่องราวของซังวู
เด็กชายวัยเจ็ดขวบที่ถูกแม่พามาฝากไว้กับยาย
หญิงชราบ้าใบ้ที่อาศัยอยู่ในบ้านชนบทซอมซ่อในสายตาของเขา
สายสัมพันธ์ระหว่างความเป็นยายหลานของคนทั้งคู่
ไม่ได้ช่วยให้ซังวูรู้สึกผูกพันกับยายในเมื่อแรกที่พบกัน
ซังวูใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของยาย แต่ทำราวกับไม่มีหญิงชราอยู่ในบ้าน
เขามีโลกส่วนตัว กินคนเดียว เล่นคนเดียว
เหมือนกับที่แม่เขาบอกกับยายไว้ ว่า
เขาชินแล้วที่จะอยู่คนเดียวตามลำพัง
เป็นประโยคที่ฟังแล้วเหงาจังเลยนะคะ ..
แต่ไม่ใช่แค่ซังวูคนเดียวหรอก
ที่จำเป็นต้องทำตัวให้คุ้นชินกับความโดดเดี่ยวที่ว่านั้น
คุณยายเองก็เช่นกัน..ใช่ไหม ?
ก่อนการมาถึงของหลานที่ไม่เคยพบหน้า
หญิงชราต้องมีชีวิตอยู่คนเดียว เพราะลูกสาวหนีตามผู้ชายไป
ในบ้านบนเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว กับโทรทัศน์ที่ดูไม่ได้
ไม่สามารถสื่อสารกับใครด้วยคำพูด
มีเพียงท่าทาง ที่หากจะเข้าใจได้ ..ก็ต้องใส่ใจ
ฉันจึงไม่อาจบอกได้ว่า
ความผูกพันระหว่างหญิงชราใบ้กับเด็กชายเริ่มจากตรงไหน

ทีละนิด ทีละนิด ในความเงียบงัน
ซังวูได้รับรู้ว่ายายรักเขาเพียงใด
หัวใจโดดเดี่ยวที่คงพยายามสร้างเปลือกแข็งกระด้าง
เพื่อป้องกันมันจากความเจ็บปวด 
ค่อยๆเปิดรับความรักของยาย 
รวมถึงความสัมพันธ์ใหม่ๆกับคนรอบข้าง

แม้เด็กชายจะยังเกเรเอาแต่ใจ
แต่เขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นฝ่ายทำอะไรๆให้กับยายเช่นกัน
และในวันที่ซังวูบอกตัวเองว่าเขารักยาย รักยายมาก
ในวันที่เขายืนร้องไห้โฮต่อหน้ายาย
ยอมให้มือเปื้อนๆที่เหี่ยวย่นเช็ดน้ำตาทั่วทั้งหน้าให้
กลับเป็นวันที่ทั้งคู่ต้องนับถอยหลังเวลาที่จะได้ใช้อยู่ด้วยกัน

ฉากที่ซังวูพยายามสอนยายที่เป็นใบ้ให้เขียนหนังสือ
เป็นฉากที่เรียกน้ำตาได้เสมอสำหรับฉัน

"นี่แปลว่าฉันไม่สบาย"
"นี่แปลว่าฉันคิดถึงเธอนะ"



ยายพูดไม่ได้ ใช้โทรศัพท์ก็ไม่ได้ ยายต้องส่งจดหมายหาผมนะ ..
ถ้ายายป่วย ยายส่งจดหมายเปล่าๆถึงผมก็ได้
ผมจะได้รู้ว่าเป็นยาย แล้วผมจะมาหาทันที ..


ความรักนั่นเองที่ทำให้คนเราอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้
ฉันมองภาพซังวูเอาด้ายยาวๆสนเข็มทั้งหมดที่ยายมีทิ้งไว้ให้
ผ่านหยดน้ำตาที่รินไหล
งานที่เคยต้องทำให้ยายด้วยความเบื่อหน่ายและจำใจ
บัดนี้กลายเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่เด็กชายจะทำให้ยายได้ ยามต้องจากกัน
การ์ดของเล่นที่เขาเคยหวงนักหวงหนา
ถูกเอามาวาดภาพที่จะทำให้ยายส่งข่าวถึงเขาได้
"ยายคิดถึงหลาน"
"ยายไม่สบาย"

ในวันจากลา ซังวูยังคงเลือกที่จะใช้เกราะอันแข็งกระด้าง
ปกป้องหัวใจที่เจ็บปวดของตัวเองไว้
เขายืนนิ่ง ไม่มอง ไม่พูดกับยาย
แต่ในนาทีที่รถบัสเคลื่อนตัวออก..โอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นหน้ายาย
ซังวูผวาวิ่งไปด้านหลังรถ ส่งภาษามือในท่าที่ยายใช้เสมอ
และบัดนี้เขารู้แล้วว่า มันแปลว่า "ฉันเสียใจ"
แล้วยายกับหลานก็ต้องจากกันในลักษณะนั้น ...

เอาไว้แปะโฆษณาที่เราช้อบชอบ รวมถึง mv ด้วย

ตอนนี้ชอบ Mv ตัวนี้จัง
เกร๋ภาพสวยถ่ายใต้น้ำนักร้องเสียงเป็นเอกลักษณ์
ฝากเอาไว้ในกายเธอ
http://www.youtube.com/watch?v=4sTZwOgXy3M

ปลูกตับ

http://m.dailynews.co.th/article/1490/153860

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โหลด line ลง PC กันป๊ะ

http://line.naver.jp/en/

คลิกเข้าไปเลยที่เวบนี้จะทำให้คุณสามารถ
โหลด line มาลง PC ได้ไม่ยาก
คราวนี้ล่ะ
1. ประหยัดแบตมือถือของคุณ
2. พิมพ์ง่ายเลยล่ะที่นี่ เรื่องสั้นยังไหว
3. วันไหนเกิด ลืมมือถือก็เล่นใน PC ได้ สบายใจ

ปล.ต้องมี line บนมือ ถือ ก่อนนะ มันจะลิ้งกัน
ทั้ง friend s sticker ก็จะตามมาด้วย เจ๋งป่ะล่าา



วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รีวิว ป่าตอง ep.1 วางแผนข้ามเขา กินไรดีที่ป่าตอง

เริ่มจาก ร้านอาหารก่อนเรยดีกว่า  
จากในเมือง ขับมาผ่านกระทู้  ข้ามเขาป่าตองมาเพียงไม่ถึงสิบนาทีเราก็จะได้เจอกับวัด สุวรรณคีรี  ขับตรงมาเรื่อยๆ มาเลี้ยวเข้าถนนสายน้ำใส  ขับมาเรื่อย จะเจอกับจังซีลอน

ขับมาอีกหน่อย เจอแยก เลี้ยวขวา ขับตรงมาเรื่อยๆ จะเจอวงเวียน 
เลี้ยวซ้ายก็จะผ่านขึ้นไปทางหาดกมลา
เส้นทางนี้จะเลียบชายฝั่งทะเล มีร้านอาหารน่านั่งมากมายหลายร้านเลยทีเดียว
ขับเลยเรือนปั้นหยามาหน่อย
วันนี้เราจะมาแซ่บร้านอาหารอีสานกัน

ชื่อร้านคือ แอบแซ่บ  มองด้านซ้ายมือไว้นะจ้ะ
เดินเข้ามาบรรยากาสในร้านจะโปร่งๆ น่านั่งมาก
มีมุมโปสการืดให็ได้ ซื้อหากัน
เดือนลงมาที่ชั้นสองของร้านก้จะเจอที่นั่งอบบนี้ สีสันสดใส
เหมาะกับทะเล๊ ทะเล มว๊าก
ร้านนี้เค้ามีหลายชั้นเดินลงไปอีกก็ได้จร้า
 มุมมองไปที่ทะเล จะเป็นมุมสูงจร้า
ฝาผนังมีการตกแต่งด้วยภาพวาด น่ารักมาก
 คนพามา
 ผู้ตามที่ดี
ส้มตำไข่เค็ม
 คอหมุย่าง  เนื้อแข็งหน่อยๆ
 อันนี้เมื่อได้ครบ อีกจานเป็น แซลม่อน แซ่บ
เป็นเนื้อแซลม่อนรมควันกำลังห่อรอบใบผักกาด ทานพร้อมซอสรสแซ๋บ
ชอบพัดลมอ่ะ แต่ไม่ได้เปิดนะ ลมพัดโกรกเชียว
จากชั้นสองใครอยากใกล้ทะเลมากกว่านี้ก็ลงไปได้อีก

-----
ค่อยๆ ทยอยลง ตามเวลาว่างนะคะ
ในการไปสำรวจนะเคอะ
----
http://yutphuket.wordpress.com/2009/08/31/songtaew-phuket/

มีคนไม่ชอบ แรงเงา 2012 แบบเราด้วย ขัดใจ

ส่วนตัว เกิดทัน เอน เคน
แอบติดภาพ แรงเงา เป็นเรื่องที่ประทับใจ
โดยเฉพาะวีกิจนี่ใจละลายเลย เป็นผู้ชายที่สุขุม นุ่ม สุภาพ
แต่ก็ไม่ชอบที่นางเอกเดินไปในเส้นทางที่ผิดๆ

ส่วน มุตตา นั้นก็เป็นหญิงสาว ใสซื่อที่่แม่หวง กลัวจะทำขายหน้า
เลยเก็บไว้ไม่ให้เข้าใกล้ผู้ชาย จนไม่รู้เท่าทันผู้ชาย
กลายเป็นคนโดนหลอก สุดท้ายก็ท้องไม่มีพ่อ
ต้องกลับซวนเซกลับบ้าน หวังหาที่พึ่ง
แต่เจอแม่ที่ปากร้าย -- จนถึงขั้นไม่มีทางไป
มีตอนนึงที่มุตตาคิดว่าไม่ขอมีชีวิตต่อไป ฝากคนงานดูแลพ่อแม่
มุตตาน่าสงสารมาก ตอนนั้น ยิ่งตอนที่เอาพวงมาลัยมาขอขมาพ่อแม่
ใครน้ำตาไม่ไหว เราว่าคนนั้นเขาเข้มจริงไรจริง
เรื่องนี้เรียกว่ามุตตาดูน่าสงสารที่เผลอไผลไปชายที่มีเมียอยู่แล้ว
แล้วก็ดันเป็นเมียหลวงในตำนาน
ส่วนที่บ้านเธอก็เหมือนเป็นลูกชังของแม่ ลูกที่แม่มักจะเปรียบเทียบ
กับพี่สาวเสมอ มันเป็นปมในใจมาตลอด

มุนินทร์ เป็นหญิงที่แกร่ง มีความเชื่อมั่น เก่ง และ ฉลาด
กลับมาพร้อมกับความรู้สึกผิดที่ว่า เพราะเธอไม่ยอมดูแลน้อง
เพราะเธอมัวแต่เกลียดชังกัน  เพราะเธอทำให้มุตตาต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง
จึงเกิดความรู้สึกอยากจะขอแก้ตัว ล้างความผิดนั้น
ด้วยการมาแก้แค้นคนที่ทำร้ายน้อง
ด้วยการปลอมตัวมาเป็นมุุตตา ทั้งๆ ที่นิสัยไม่ยอมคน ท่าทางเอาจริงไม่เหมือนน้องสาว
เมื่อโดนทำร้ายมุตตาจะตอบโต้ แบบ ตาต่อตาฟันต่อฟัน
แต่จะดูมีมาด และ ไม่ด่ากราดแบบแม่ค้า แต่จะดูมีความสง่าอยู่ในที

ซึ่งบทที่ว่ามานี้ เคน แสดงได้ใจละลาย คือ สงสารอยากให้มุตตาเลือกเคนแต่แรก
แอน ก็เป็นทั้งสองบทบาท ได้ดี มาก จนไม่ต้องออกแรงด่า ตาจิกมากมาย เราก็รุ้ว่าเป็นมุนินทร์
ซึ่งเราว่าผู้กำกับเค้ากำกับออกมาได้ดี

อย่างที่เค้าว่าหนังแต่ละเรื่องทำร้อยครั้งก็ไม่เหมือนกัน
เพราะมันจะขึ้นอยู่กับการเล่าเรื่องของผู้กำกับมากกว่าว่าเค้าอยากจะเล่าให้คนดูมองในมุมไหน
เราว่าเรื่องนี้ผู้กำกับเค้าตีโจทย์ไปอีกแบบ  จึงได้ มุตตา แบบที่ไม่น่าสงสาร ใครๆ ก้พากันสมน้ำหน้า
มุนินทร์ ที่ร้าย แน้น จิกตา และชี้นิ้ว เผลอ คิดว่าดูหนังผีมากกว่า
ส่วน วีกิจนั้น ก็หน้าตาหล่อมแหล่ม ยังไงไม่รู้ ดูแล้วไม่อินว่าอยากให้มุตตาได้กะคนนี้เลย
ดูวีกิจจะดูด้อยกว่ามุนินทร์มาก ส่วนมุนินทร์ เวอร์ชั่นนี้ก็ดูอ่อย วีกิจซะเหลือเกิน

สรุปก็คือหยุดดูมาจนถึงวันนี้ได้สามวันแล้ว
ถ้าดูแล้วขัดใจก็อย่าไปดูมันซะดีกว่า

ปล. ทั้งนี้ก็แค่ความเห็นส่วนตัว
ปล.ไม่ได้เกลียดหนังรีเมคนะ อะ อย่างเรื่อง เชลยศักดิ์ ทำออกมา แอฟ กะ อั้ม ก็ดูเพลิน ลืมอันเก่า หรือ เมียหลวง พี่ตุ๊ยก็เล่นได้แพราพราวเกินคาด หรือ อย่าง ทวิภพ ที่ว่าดูแฟนกะอ๋อม เล่นไม่น่าอิน ก็ใส่ลูกเล่นเหมาะกะยุคนี้เข้าไปได้ เรียกว่าคนละรสกว่าของเก่า แต่ก็ยังน่ากิน ---ไม่เหมือนแรงเงา

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12830715/A12830715.html

http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3653875