---OMG มั้ยล่ะ ประเทศที่เจริญขนาดนั้น ยังมีชุมชนที่รักษาขนบเดิมไว้ได้ขนาดนี้
ทั้งๆ มีประชากรประมาณ 2 แสนคน เลยทีเดียว ก็ยังรักษาวิถ๊เดิมเอาไว้ได้
พวกเขาได้ดำรงชีวิตอย่างนี้มาเป็นเวลาประมาณ 500 ปีแล้ว กฎสังคมโดยทั่วไปของชาวอามิชมีดังนี้
- ไม่ใช้กระแสไฟฟ้า (ใช้ตะเกียง)
- ไม่ใช้รถยนต์ รถแทรคเตอร์ เครื่องยนต์กลไกทั้งหลาย (ใช้รถม้าและแรงงานสัตว์)
- แต่งกายมิดชิด สีเข้ม เรียบง่าย เป็นเครื่องแบบเหมือนกันทุกคน
(ของฝากที่นี่จึงเป็นตุ๊กตาไร้หน้า ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องตือนสติว่าชีวิตเรียบง่าย
ไม่จำเป็นต้องมีหน้ามีตาในสังคม)
ไม่จำเป็นต้องมีหน้ามีตาในสังคม)
- ไม่ใช้โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ เครื่องอำนวยความสะดวกที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย
เหตุผลหลักที่ห้ามใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะเขาเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ หากใช้มากเท่าใดก็จะทำให้ทำให้เกิดความเสื่อมทั้งต่อตนเองและต่อสังคมดังนี้
- ทำให้เกิดความโอ้อวดและความหยิ่งผยอง
- ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม
- ทำให้สนใจครอบครัวและสังคมน้อยลง (สนใจเทคโนโลยีแทน)
- ทำให้จิตใจหยาบกระด้างและโน้มเอียงไปทางรุนแรง
- ทำให้ห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้น (ชาวอามิชเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาคริสต์)
ทั้งนี้เพราะชาวอามิชถือว่าคุณภาพชีวิตของเขาคือ การอยู่ใกล้ชิดกับสมาชิกครอบครัวและสังคมเพื่อนบ้าน หากใช้เทคโนโลยีมากเกินจำเป็นก็จะทำให้ห่างเหินกันมากเกินจำเป็นด้วย เช่น อาจดูโทรทัศน์อยู่คนเดียวโดยไม่ติดต่อกับใคร หรือคุยโทรศัพท์นินทาว่าร้ายคนอื่นได้ง่ายเป็นเวลานาน นำความเสื่อมถอยมาสู่สังคมได้ นอกจากนี้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะ พอมีพอกิน ประหยัด สุภาพ เรียบง่าย รักสงบ ตามแนวทางของพระเยซูไครสต์เพื่อเป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์ในที่สุด
แต่จริงๆ แล้วชาวอามิชไม่ได้ปฎิเสธเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิงพวกเขาจะประชุมเพื่อตกลงร่วมกันว่าเทคโนโลยีใดจำเป็นก็จะรับไว้และรับในปริมาณที่เหมาะสมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น พวกเขายอมรับให้เก็บนมวัวในถังแสตนเลสที่มีเครื่องกวนไฟฟ้าได้ เพราะมีความจำเป็นที่ต้องทำตามกฎกระทรวงเกษตรเพื่อที่จะได้รับการรับรองว่าสะอาดพอที่จะขายในท้องตลาดได้ การใช้โทรศัพท์ในกรณีจำเป็นเช่น เรียกหมอ ก็ทำได้ การใช้รถยนต์เพื่อไปโรงพยาบาลแบบฉุกเฉินก็กระทำได้
วิธีการและระดับของการยอมรับเทคโนโลยีของชาวอามิชนับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ก่อนอื่นสังคมของเขามีวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่างเป็นระบบว่าคุณภาพชีวิตคืออะไร ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายและแม้กระทั่งหลังจากตายแล้ว จากนั้นเขาจะประชุมร่วมกันว่าจะยอมรับเทคโนโลยีใดหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเทคโนโลยีนั้นจะมาช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น หรือมาบั่นทอนให้ลดลง ในขณะที่สังคมของประเทศไทยเปิดกว้างยอมรับเทคโนโลยีทุกอย่างโดยไม่ค่อยได้วิพากษ์ไตร่ตรองและประชุมหารือกันเลย ส่วนใหญ่ก็มักอ้างกันแต่เพียงว่าหากไม่ยอมรับก็จะทำให้ตามโลกเขาไม่ทัน แต่ไม่แน่ใจนักว่าตามไปที่ไหนและมีจุดหมายอยู่ที่ใด ส่วนชาวอามิชมีจุดหมายชีวิตที่ชัดเจนว่าต้องการไปอยู่กับพระเจ้า
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ คุณภาพชีวิตของชาวอามิชนั้น หมายรวมถึงความสุขสามประเภท คือความสุขทางกาย ความสุขทางอารมณ์(พวกอามิชก็ร้องรำทำเพลงด้วย) และความสุขทางจิตวิญญาณ ในความเห็นของผู้เขียนนับได้ว่าเป็นนิยามที่มีความสมดุลกว่านิยามของคนทั้งหลายในโลก ซึ่งมักเอากันแค่ความสุขทางกายหรืออย่างมากก็เพิ่มทางอารมณ์ด้วยเท่านั้น
หมายเหตุ ความเชื่อด้านศาสนาของชาวอามิชแยกตัวออกมาจากกระแสหลักของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกและโปรแตสแตนเมื่อประมาณ คศ. 1500 ทำให้ถูกพวกกระแสหลักเข่นฆ่าอย่างทารุณเป็นจำนวนมาก จนต้องอพยพหนีไปอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ยังถูกตามรังแก จึงต้องอพยพไปอยู่อเมริกาในราวปี คศ. 1850 ปัจจุบันส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในตอนกลางด้านเหนือของอเมริกา ในรัฐโอไฮโอ เพนซิลเวเนีย และอินเดียนา เป็นต้น แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมมากในแต่ละปี แต่ชาวอามิชก็ยังคงวิถีชีวิตแบบพอเพียงได้อย่างคงเส้นคงวาตลอดมา
|
ที่มา่ของข้อมูล -- http://www.oknation.net/blog/print.php?id=155493
คุณยายคนนึงบอกว่า ถ้าเราไม่มีไฟฟ้า เวลากลางคืนเราก็จะมารวมกันที่ห้องโถงได้คุยกัน แต่ถ้าเรามีไฟฟ้าใช้นั้น แต่ละคนก็จะแยกย้ายเข้าไปห้องของตัวเอง
มีเหตุการณ์ที่สะเทือนใจชาวอามิช มาก คือมีวันหนึ่งคนขับรถบรรทุก บุกกราดยิงเด็กนักเรียนในโรงเรียนในชุมชน แห่งนี้ทำให้เด็กตายไปหลายคน ส่วนตัวคนยิงก็ยิงตัวตายตามนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากแก่ชาวอามิช
แต่เชื่อหรือไม่ในงานศพของมือยิงคนดังกล่าว ผู้เข้าร่วมงานส่วนมากเป็นชาวอามิช มาให้กำลังใจ และยังชวนภรรยามาโบสถ์ที่ชุมชน ถือเป็นการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ ช่วงนั้น เรื่องนี้ทำให้ชาวอามิชเป็นที่สนใจของชาวโลกเลยทีเดียว
ชีวิตแบบนี้ถ้ามองว่าไม่มีอิสระก็ว่าได้ แต่เค้าก็ยังมีความสุขกับชีวิตที่มีอะไรเดิมๆ
จนบางทีเรากลับมามองว่าชีวิต ที่มุ่งไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง หรือชีวิตวนๆ ของเค้า ใครมันจะดีกว่ากัน
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.469971773043830.107060.135459766495034&type=1
ชอบการบรรยายของเจ้าของบล๊อคนี้อยากเม้นนะ
แต่ต้องสมัครสมาชิกก่อน
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=morphine&date=05-10-2006&group=1&gblog=3
เลยลามไปถึงการ search หาข้อมูลเรื่องนี้ต่อมาเจอกระทู้นี้อ่ะ
http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3253705/H3253705.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น